ปัญหาผิวไม่ว่าจะเป็นผิวหมองคล้า ไม่สดใส เริ่มมีริ้วรอย อาจะเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ปัจจัยภายในได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง และการทำงานของผิวตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น และปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด การนอนหลับพักผ่อน ความเครียด หรือแม้แต่การใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ วันนี้สปาโซปพามาดู ความแตกต่างระหว่าง AHA BHA PHA และ LHA ที่มีอยู่ในสกินแคร์ทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร และแต่ละตัวเหมาะกับสภาพผิวแบบไหนบ้าง มาดูกันค่า
มีชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีคือ “กรดผลไม้” ทำงานได้ดีบนผิวหนังชั้นนอก ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ ทำให้เซลล์ผิวใหม่แข็งแรงขึ้น เหมาะสำหรับผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง
AHA เป็นสารสกัดจากผลไม้ เช่น กรดซีตริกจากมะนาว ส้ม กรดมาลิกจากแอปเปิ้ล กรดแลคติกจากนมเปรี้ยว เป็นต้น โดย AHA เป็นสารที่ละลายได้ในน้ำ ทำปฏิกิริยาบริเวณผิวชั้นนอก จึงเหมาะกับผิวแห้งไปจนถึงผิวธรรมดา มีคุณสมบัติหลัก คือ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ปรับสภาพผิว สีผิวที่คล้ำ และไม่สม่ำเสมอให้ขาวใสขึ้น และยังช่วยในเรื่องริ้วรอย ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นได้
โดยทั่วไป การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA ในรูปแบบครีมทาผิวที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ค่อนข้างปลอดภัย แต่หากต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
ชื่อที่พบในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ได้แก่ กรดซิตริก (Citric Acid) , กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) , กรดทาร์ทาริก(Tartaric Acid) , กรดแมนดีลิก (Mandelic Acid) และ กรดแลกติก (Lactic Acid)
BHA มาจากคำว่า Beta Hydroxy Acid ซึ่งเป็นชื่อของสารเคมีกลุ่มเบต้าไฮดรอกซี่ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ มีคุณสมบัติคล้ายกับสารในกลุ่มกรดผลไม้ (หรือ AHA) คือช่วยในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกสุด, ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ, ลดการอักเสบของผิว, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้
โดยผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าที่วางขายทั่วไปมักมีความเข้มข้นของกรดซาลิไซลิกไม่เกิน 2-3% เนื่องจากการใช้กรดซาลิไซลิกที่ความเข้มข้นสูงมากเกินไปอาจทำให้ผิวไหม้ได้ นอกจากนั้นกรดซาลิไซลิกยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดรังแค จึงนิยมใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะเช่นกัน โดยมักมีความเข้มข้นในช่วง 3-12%
1. ทดสอบการแพ้และระคายเคืองก่อนการใช้จริง โดยทาผลิตภัณฑ์จำนวนเล็กน้อยที่ข้อพับ, ใต้ท้องแขน, หรือหลังใบหู ทิ้งไว้อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง จากนั้นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวว่ามีรอยแดง ผื่นคัน หรือรู้สึกแสบหรือไม่
2. แม้ผลิตภัณฑ์ผสม BHA มักจะมีความเข้มข้นที่เหมาะสมกับการใช้เป็นประจำทุกวัน แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ควรเว้นระยะห่าง โดยใช้ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก่อนแล้วจึงค่อยเพิ่มความถี่ขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น
3. BHA เช่น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) ไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด อย่างไรก็ตามยังควรใช้ครีมกันแดดทุกเช้าเพื่อป้องป้องผิวไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้าย และชะลอการเสื่อมสภาพของผิว
4. ไม่ควรใช้พร้อมกับสารกลุ่มเรตินอล (retinol หรือ retinoids) เนื่องจากมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเหมือน การใช้สารเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่มากเกินไปอาจทำให้ผิวการระคายเคืองและเกิดอาการแพ้ได้ นอกจากนั้นการใช้ร่วมกันอาจไปลดประสิทธิภาพการทำงานของสารทั้งสองกลุ่มได้ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มทำงานได้ดีที่สภาพความเป็นกรด-ด่างต่างกัน
ชื่อที่พบในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ได้แก่ เบต้า ไฮดรอกซี่ แอซิด (BHA) , กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
PHA มาจากคำว่า Poly Hydroxy Acid เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวคล้ายคลึงกับ AHA แต่มีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า เนื่องจาก PHA มีขนาดโมเลกุลใหญ่และมีจำนวนหมู่ไฮดรอกซี่มากกว่า จึงไม่สามารถแทรกซึมลงสู่ผิวชั้นผิวได้ดีเท่ากับ AHA แต่จะออกฤทธิ์ที่บริเวณผิวชั้นนอกเป็นหลักโดยไม่รบกวนชั้นผิวที่ลึกลงไป
มีสาร Glucono Delta Lactone ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกเสริมการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และยังช่วยขจัดความมันส่วนเกิน ช่วยลดการเกิดสิว และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นบนผิวหน้า ทำให้ผิวแลดูอิ่มน้ำ
ชื่อที่พบในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ได้แก่ กลูโคโนแลคโตน (Gluconolactone) , กาแลคโตส (Galactose) และ กรดแลคโตไบโอนิก (Lactobionic Acid)
.
LHA หรือ กรดไลโปไฮดรอกซี เป็นอนุพันธ์หนึ่งของกรดซาลิไซลิกหรือ BHA ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ และระคายเคืองน้อยกว่า BHA ที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูง โดยมีค่า pH ใกล้เคียงกับธรรมชาติของผิว มีบทบาทในการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ช่วยควบคุมความมันส่วนเกิน ลดการอุดตันรูขุมขน และลดริ้วรอย
ชื่อที่พบในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ได้แก่ ไลโป-ไฮดรอกซีแอซิด (Lipo Hydroxy Acids) , คาร์พริอิวซาลิไซลิก (Capryloyl Salicylic Acid)
** LHA & PHA สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และยังไม่พบข้อมูลความไม่เข้ากันกับสารอื่นๆ แต่แนะนำทำเนื้อผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในรูปของเหลว เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุด **
อย่างไรก็ตามในการที่คุณสมบัติของทุกตัวเน้นเรื่องการผลัดเซลล์ผิวเป็นหลัก จึงไม่ควรใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองหรือถึงขั้นผิวหน้าบางลง และจะทำให้ภูมิคุ้มกันของผิวต่ำจนไม่สามารถปกป้องผิวจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ ขอแนะนำว่าไม่ควรใช้บ่อย หรือติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์
เมื่อรู้ประสิทธิภาพและหน้าที่ในการทำงานของ AHA BHA PHA และ LHA แล้ว คนที่สนใจทำแบรนด์สกินแคร์ประเภทนี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของกลุ่มเป้าหมายนะคะ